วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

...ไปวิ่ง ๑๐ ก.ม.ที่กุดเรือคำ............



ครับผม....เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๖
ลุงธีและคุณแต๋วได้พากันไปวิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
ที่อ.บต.กุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร  มาครับ
มีผู้คนไปร่วมวิ่งประมาณ ๓ - ๔ ร้อยคน ถือว่าเยอะพอสมควร
ข้าวต้มเกือบไม่พอรับประทานกันที่เดียวเชียวค้าบบ
เชิญชมภาพบรรยากาศการวิ่งได้แล้วครร้าบบบบ...
...................................





พบกันใหม่สนามหน้านะคร้าบบบ....................


วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

"อย่าทำงานเลย...วิ่งและหาเงินตุนไว้จะเห็นผลว่าจะก้าวหน้ากว่าทำงาน(เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข)ในยามนี้"



ครับผม...นี่ก็กลางเดือน ก.ย.๒๕๕๖ เข้าไปแล้ว
ลุงธีเองก็ยังไม่ได้เขียนบทความลงในบล็อกของตนเองเลย
เดี๋ยวเงียบหายไปทางเจ้าของบล็อกจะตัดบล็อกของลุงธีทิ้ง
ว่าแล้วก็คิดค้นหาเรื่องอะไรดีดี..มาเขียนในบล็อกของตนเอง
.......วันนี้ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖  ก็เลยไปอ่านบทความของ
ตำรวจที่ลุงธีเคยชมเชยไว้หลายครั้งแล้วว่าท่านเป็นตำรวจที่
มีความขยันขันแข็งในหน้าที่การงานของท่านอย่าง
คงเส้นคงวา...แม้ตัวท่านเองจะไม่ได้ดิบได้ดีในหน้าที่การงาน
ตำแหน่งยังขึ้นไม่สูงเท่าควรจะเป็น  แต่ท่านก็ยังคง
ทำงานของท่านอย่างไม่ย้อท้อ..เอาเป็นว่าเป็นตำรวจน้ำดีก็แล้วกัน
ท่านผู้นั้นคือ พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา 
...ในบทความของท่านได้นำเอาข้อเขียนของ ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข  
มาถ่ายทอดไว้ในบล็อกของ พ.ต.ท.สุพจน์
ซึ่งท่านดอกเตอร์ท่านนี้ได้เข้ามาคลุกคลีวงในกับตำรวจ
เคยเป็นแม้กระทั่งเป็นสายลับให้ตำรวจ
รู้ตื้นลึกหนาบางของวงการตำรวจไทยเป็นอย่างดี
ดร.ปนัดดา ได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับการวิ่งเต้นเอาตำแหน่งโดย
ไม่ทำงานของข้าราชการตำรวจ..ซึ่งเป็นเรื่องจริง
ที่คนมีอาชีพตำรวจไม่อาจปฏิเสธได้...เมื่อได้คนที่
ไม่ดี  คนไม่ทำงานหรือทำงานไม่เป็นไปเป็นหัวหน้าหน่วย
กรรมก็จะตกอยู่กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศนั่นเองแหละคร้าบบ..
...เชิญอ่านบทความดังกล่วได้แล้วคร้าบบบ....

..............................................

ระบบทุนกับความเสื่อมของตำรวจ? : โลกตำรวจ โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข (๘ กันยายน ๒๕๕๖)

คน คือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร...นี่คือแก่นแกนของแนวความคิดที่เชื่อว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จนั้นผู้นำจะต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีกำลังพล ๒ แสนกว่านาย มีภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศชาติและสังคม คือการรักษาความสงบภายใน ดังนั้น ผู้นำสูงสุดขององค์กรจะต้องแสดงบทบาทของนักบริหารงานบุคคลอย่างมืออาชีพร่วมกับคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบายและมาตรฐานการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ กำกับ ดูแลตรวจสอบและแนะนำเพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติบริหารงานบุคคลให้เป็นไปตามกฎหมาย มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดย ก.ตร.นี้มีทั้งคณะกรรมการที่เป็นตำรวจและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ใช่ตำรวจ ดังนั้น การแต่งตั้งผู้นำตำรวจระดับนายพลหากไม่มีประสิทธิภาพจึงเป็นความรับผิดชอบของคนกลุ่มนี้!!! การที่ประชาชนได้ตำรวจที่ไร้ประสิทธิภาพมาดูแลก็เป็นผลงานของคนกลุ่มนี้เช่นกัน !!

การขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีเคยเป็นความหวังที่ตำรวจส่วนใหญ่รอคอยในอดีต ก่อนหน้าที่จะปรับโครงสร้างใหญ่ก่อนยกระดับเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยหวังว่าระบบคุณธรรมในการทำงานจะเกิดขึ้นในโลกของตำรวจซึ่งจะทำให้ตำรวจที่ทุ่มเทในการทำงานมีขวัญและกำลังใจที่ดี เพื่อเป็นตำรวจที่ดี แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวนการฟ้องศาลปกครองของตำรวจ รวมถึงพฤติกรรมการวิ่งข้ามหัวรุ่นพี่(ที่ตั้งใจทำงาน)โดยไปอิงแอบสวามิภักดิ์นักการเมืองอย่างสยบยอมประหนึ่งว่าเหล่าบรรดานักการเมืองผู้มีอำนาจนั้นคือผู้บังคับบัญชาที่แท้จริงโดยไม่สนใจไยดีผู้นำตำรวจซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา หรือแม้แต่การใช้เงินในรูปแบบวิธีการต่างๆ ซื้อตำแหน่งกันอย่างเปิดเผยแต่แยบยลอย่างไม่ละอายใจ ล้วนแสดงให้เห็นรูปธรรมของความล้มเหลวในการบริหารงานบุคคลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และบทบาทของ ก.ตร.อย่างปฏิเสธไม่ได้

เราจะยอมปล่อยให้วัฒนธรรมเช่นนี้ดำรงอยู่ต่อไปและฝังรากลึกโดยยอมจำนน ทั้งๆ ที่รู้ว่า บรรดาตำรวจนักวิ่ง โดยมิสนใจเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์...หากเป็นเช่นนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ? อย่าลืมว่าเมื่อมีการลงทุนไปแล้วก็ต้องถอนทุนคืนด้วยวิธีการต่างๆ และในเมื่อตำรวจปฏิบัติหน้าที่อยู่กับภารกิจการบังคับใช้กฎหมาย การถอนทุนคืนจึงย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายที่บิดเบี้ยวอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้?!?

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี รวมถึง ก.ตร. ย่อมมีความเข้าใจในปรากฏการณ์และผลกระทบดังกล่าวเป็นอย่างดี ในขณะที่ ทุกคนต่างยอมรับว่า พล.ต.อ.อดุลย์ คือผู้นำการเปลี่ยนแปลงและมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการสร้างภาวะผู้นำและการพัฒนาระบบงานตำรวจโดยใช้ ระบบศูนย์ปฏิบัติการตำรวจ(ศปก.)เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารงาน มุ่งเน้นการสั่งการ กำกับ ติดตามงานให้เป็นไปตามภารกิจ เป้าหมาย นโยบายและข้อสั่งการต่างๆ ซึ่งจะทำให้บรรลุประสิทธิผลในงาน

แต่หากผู้ที่ปฏิบัติงานอย่างทุ่มเท จนทำให้งานบรรลุวัตถุประสงค์กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการบริหารงานบุคคล หรือใช้ภาษาง่ายๆ ว่า "คนทำงานไม่ได้ดี คนได้ดีไม่ได้ทำงาน(ให้องค์กรและประชาชน)" แต่คือคนที่วิ่งเต้นเข้าหาขั้วอำนาจ หรือใช้เงินแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งนั้น ต่อให้ระบบงานมีประสิทธิภาพเพียงใดก็ไม่สามารถจูงใจให้คนทำงานได้อีกต่อไป การใช้แต่พระเดชในการลงโทษผู้ที่ไม่ปฏิบัติงานตามระบบ แต่ไม่สามารถให้พระคุณสำหรับผู้ที่ทุ่มเทปฏิบัติงาน อีกทั้งมีข้อยกเว้นในการให้พระคุณ(ให้รางวัล)แก่คนบางกลุ่ม บางพวกเป็นระยะๆ นั้นกำลังสร้างความไม่เชื่อถือ ไม่ศรัทธา ไม่ไว้วางใจแก่ผู้นำที่เคยเป็นความหวังว่าจะเป็นผู้นำที่จะนำพาองค์กรไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีซึ่งมีบทบาทเป็นประธานก.ตร. ต้องให้อำนาจเต็มในการบริหารงานบุคคลแก่ ผบ.ตร.ด้วย

ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ และผู้กำกับการสถานีตำรวจเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารงานตำรวจ

การแต่งตั้งผู้บัญชาการในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นรูปธรรมอย่างชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการ ก.ตร.ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารงานบุคคลในโลกของตำรวจอย่างจริงใจ เพราะหากให้เหตุผลว่ากลุ่มบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการในครั้งนี้มีความเหมาะสมแล้วก็แสดงว่า บรรดานายพลตำรวจในลำดับอาวุโสที่อยู่ก่อนหน้าจำนวนมากนั้นไร้ฝีมือ ขาดศักยภาพ หรือไม่มีผลงานที่เหมาะสม ซึ่งขัดกับเสียงจากบรรดาไพร่พลจำนวนมากที่ประหลาดใจกับการแต่งตั้งในครั้งนี้ และเกิดคำถามมากมาย ? ไพร่พลต่างพากันรู้สึกว่าการแต่งตั้งครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนและตอกย้ำว่า "อย่าทำงานเลย...วิ่งและหาเงินตุนไว้จะเห็นผลว่าจะก้าวหน้ากว่าทำงาน(เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข)ในยามนี้"

ดังนั้น ขอเตือนให้ประชาชนเตรียมความพร้อมในการป้องกันภัยอาชญากรรมด้วยตนเองอย่างเข้มแข็ง เพราะกำลังตำรวจจะมุ่งเน้นทำหน้าที่สกัดและควบคุมฝูงชน และวิ่ง วิ่ง วิ่ง....เพื่อให้ตัวเองรอดก่อนตามสัญชาตญาณของมนุษย์!!!

อย่างนี้อย่ามาว่าไพร่พลเลวให้ช้ำใจ!!!!!

ที่มา : http://goo.gl/68WuYl














นิทานเรื่องนี้...สอนให้รู้ว่า..ใครทำงานก็จะได้งาน
ได้รับคำชมเชยจากทั้งชาวบ้านและผู้บังคับบัญชา
...ใครวิ่งเต้นก็จะได้ยศ...ได้ตำแหน่ง..เป็นเจ้าคนนายคน
งานไม่ต้องทำก็ได้..เพราะถ้าทำงานก็จะไม่มีเวลาเดินทาง
ไปวิ่งเต้นเส้นสาย......
.....ยุคนี้..สมัยนี้..เขาว่ากันว่าใครเดินทางไปขอตำแหน่งถึงดูไบก็จะได้
ตำแหน่งสมตามคำขอ......ครับผ่ม.....