วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทความดีดี.........


ครับ....วันนี้ลุงธีเองได้อ่านบทความของนายแพทย์ท่านหนึ่ง
อยู่จังหวัดน่าน   ท่านเขียนไว้เกี่ยวกับการทำความดี  การปิดทองหลังพระ
ลุงธีอ่านแล้วชอบใจ.....ก็เลยขออนุญาตนำเอาบทความเล็กๆดังกล่าว
มาถ่ายทอดไว้ในบล็อกของลุงธี ก็แล้วกันนะคร้าบบบบบ...
ความจริงเกี่ยวกับการที่คนไทยเราไม่อายที่จะทำความดีนี่
ลุงธีเองก็เคยมีแนวความคิดที่จะส่งเสริมสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา
เลยนะครับ  แล้วแต่โอกาสและความสามารถของลุงธีจะทำได้
เช่นลุงธีเคยวาดฝันเอาไว้ว่าเมื่อตนเองเกษียณอายุราชการแล้ว
หากมีเวลาเพียงพอ....ตัวลุงธีเองจะออกเดินทางไปสุ่มหา
ข้าราชการตำรวจที่ดีดี....(ก็ลุงธีเป็นตำรวจนี่ครับ)   ที่ตั้งใจทำงาน
ในหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ โดยที่เขาเองอาจจะไม่ได้รับ
การยกย่องเชิดหน้าชูตา หรือไม่ได้รับความดีความชอบในการรับราชการ
จะด้วยสาเหตุอันใดก็ตามแต่....แต่ถ้าหากลุงธีไปประสบพบเห็นแล้วละก็
ลุงธีเองจะเข้าไปแสดงความยกย่องยินดีและเป็นกำลังใจให้ และถ้า
เป็นไปได้ตัวลุงธีเองก็จะหารางวัลส่วนตัวไปมอบให้ท่านเหล่านั้น
เท่าที่ตนเองจะทำได้คร้าบบบบบบ.......
เอาละครับมาอ่านบทความดีดีของการทำความดีกันดีกว่าครับ

......................................................................

 " การทำความดีนั้นยาก ยิ่งทำโดยไม่มีคนเห็นยิ่งยากกว่า แต่มีคนบางคนพยายามทำอยู่ "
มีเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลน่านคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เธอขับรถจักรยานยนต์ ไปซื้อของที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง เธอพบชายหนุ่มคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมใส่เสื้อเลอะฝุ่นโคลน นอนไม่รู้สึกตัวอยู่ริมทางเดินเท้า เธอคาดคะเนว่าอายุประมาณ 20 ปีเศษ เธอจึงเดินเข้าไปถามที่ร้านค้าได้รับทราบว่าชายคนนี้เดินไปเดินมาแบบคนเมา เที่ยวขอข้าวกินแล้วก็มานอนอยู่หน้าร้านทั้งคืน ตอนนั้นใจเธอนึกว่า ถ้าชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกเราล่ะ พ่อแม่ของเขาย่อมรอการกลับมาของลูกเขา เธอจึงไม่ยอมเดินจากไปเหมือนคนอื่น. เธอจึงชวนน้องที่อยู่ในร้านมาช่วยกันดูว่าชายคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง น้องคนนั้นก็เอาไม้ไปเขี่ย เธอเห็นเขากระพริบตา จึงบอกไม่ต้องเขี่ยแล้ว เธอถามชายหนุ่มคนนั้นว่า เป็นคนไทยหรือเปล่า อยู่บ้านไหน จึงได้ทราบความว่า เป็นคนตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอบ่อเกลือ ซึ่งเป็นอำเภอที่กันดารและห่างไกลที่สุดอำเภอหนึ่งของจังหวัดน่าน โดยเขาตั้งใจจะไปทำงานที่จังหวัดแพร่ แต่รถคันไหนก็ไม่ยอมรับ เพราะเนื้อตัวสกปรก จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ มีเงินเหลืออยู่นิดหน่อย จึงซื้อเหล้าเพื่อดับความกลุ้มใจ. เธอจึงแนะนำให้ไปอาบน้ำแล้วไปนอนที่สถานีขนส่งจะปลอดภัยกว่า เธอให้เงินไปซื้อข้าวพร้อมค่ารถโดยสารกลับ. วันต่อมาเธอไปติดตามถามคนแถวนั้นได้ความว่าชายหนุ่มคนนั้นเดินทางไปแล้ว เธอคิดในใจว่าเขาคงจะได้กลับบ้านแล้ว พ่อแม่ของเด็กหนุ่มคนนั้นคงมีความสุขที่ลูกชายกลับบ้านไป.

ในยุคทุนนิยมที่ขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดความรู้สึกตัวใครตัวมัน จังหวัดน่านก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในอดีตคงไม่มีใครทำเหมือนมองไม่เห็นคนที่นอนกลิ้งกลางทางราวกับเป็นหมาข้างถนน ทุกวันนี้เราทุกคนถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า กวางที่อ่อนแอย่อม  เป็นเหยื่อของสิงโตที่แข็งแรงกว่า ทุกคนต้องเอาตัวรอดเอง ใครไม่รอดก็ช่วยไม่ได้ ความเอื้ออาทรของคนดูจะน้อยลงไปทุกที แต่ผมยังเชื่อว่าเรายังมีความหวังดังอีกตัวอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้.

ในอีกวันหนึ่งที่ห้องตรวจโอพีดี ผมถามแม่ของเด็กคนหนึ่งที่พาลูกมาตรวจว่าลูกป่วยเป็นอะไรมา เธอไม่ตอบ ท่าทางเหมือนฟังไม่รู้เรื่องและกลัวปนงงๆ คงเป็นเพราะผมใส่หน้ากากอนามัยทำให้เสียงพูดไม่ค่อยชัดนัก และเธอคงเป็นชาวเขาซึ่งสังเกตได้จากเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเก่าและขาดบางส่วน ขณะที่ผมถามดังขึ้นและย้ำอีกครั้ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยกันจึงตอบแทนแม่ของเด็กว่าลูกเธอป่วยเป็นไข้มา  1 สัปดาห์แล้ว เธอจึงติดรถของคนที่อยู่ในหมู่บ้านมาตรวจ แต่เนื่องจากแพทย์ส่งตรวจเลือด กว่าจะได้ผลเลือดก็บ่ายสองกว่าๆ แล้ว คนที่ขับรถมาตรวจก็เลยกลับไปก่อน แม่ของเด็กไม่รู้จะกลับอย่างไร ไม่เคยเข้ามาในตัวเมืองมาก่อน เนื่องจากผู้หญิงคนนี้แต่งตัวค่อนข้างดีและดูมีการศึกษา ผมจึงถามว่าแล้วคุณเป็นญาติกับแม่ลูกสองคนนี้หรือเปล่า เธอตอบว่าไม่ใช่ แต่เห็นแล้วสงสาร เพราะไปตรงไหนก็ไม่มีใครคุยรู้เรื่อง เธอเองก็มาตรวจตามนัดเสร็จตั้งแต่ 11 โมงแล้ว แต่ก็ช่วยดูแลแม่ลูกคู่นี้ให้. ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชมและให้กำลังใจเธอ และเมื่อตรวจและสั่งยาเสร็จ ผมจึงกดโทรศัพท์ไปฝากศูนย์ EMS ให้ช่วยหารถไปส่ง  แม่ลูกคู่นี้ให้ด้วย. ผมเชื่อว่าแท้จริงแล้วทุกคนโหยหา ความดี ทุกคนอยากเป็นคนดี แต่ทุกคนเกี่ยงกันว่าใครจะเริ่มก่อน แต่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลน่านและผู้หญิงที่มาตรวจที่โรงพยาบาลน่านคนนี้ตัดสินใจที่จะเริ่มก่อน พวกเธอไม่สยบยอมต่อความรู้สึกที่ว่าตัวใครตัวมัน ให้ฉันรอดเป็นพอ.

เวลาไปทำบุญที่วัด ผมสังเกตว่าใครๆ ก็มักจะเดินไปปิดทองที่หน้าองค์พระพุทธรูป แต่ผมจำได้ว่าอาจารย์ นายแพทย์บุญยงค์ วงค์รักมิตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อสมัยหนึ่ง อาจารย์บุญยงค์เคยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระราชทานพระสมเด็จจิตรลดาให้อาจารย์บุญยงค์องค์หนึ่ง ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายที่พระองค์มีอยู่ พระองค์ทรงตรัสว่า  " ฝากปิดทองหลังพระให้ด้วย " ซึ่งพระราชดำรัสของพระองค์ในวันนั้นนั้นอาจารย์บุญยงค์ยังจดจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้ และอาจารย์บุญยงค์มักจะเล่าเรื่องนี้ ให้แพทย์รุ่นหลังฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แพทย์ได้ปิดทองหลังพระกันในขณะที่ทำงานตรวจผู้ป่วยทุกๆ วัน.

การปิดทองหลังพระเป็นเรื่องที่ยาก เพราะใครๆ ก็อยากปิดทองหน้าพระ ให้คนอื่นรวมทั้งตัวเราได้เห็นได้ภูมิใจว่าเราปิดทองแล้วนะ เพราะมนุษย์เรามีชีวิตอยู่และทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยแรงขับเคลื่อน บางคนถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกที่ต้องมีกินมีใช้ ให้ลูกได้เรียนหนังสือดีๆ ให้ได้ตำแหน่งเจริญก้าวหน้า ถ้าสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรต่อตัวเรา เราก็มักจะไม่ทำสิ่งนั้น ซึ่งนั่นเป็นแรงขับดันทั่วไป แต่เพราะมนุษย์ มีสมองส่วน neocortex ที่สัตว์อื่นๆไม่มี ทำให้มนุษย์มีแรงขับดันอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ภายใน แรงขับดันในการทำสิ่งที่ดีทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคมและคนรอบข้างแม้ไม่มีใครรู้เห็นก็ตาม.

แพทย์นับเป็นอาชีพที่โชคดี ที่มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มามอบโอกาสในการทำดีให้แก่เราในทุกวัน เราไม่จำเป็นต้องทำดีเพียงเพื่อให้หัวหน้าเราเห็น แต่ทำดีให้ตัวเราเห็น ให้เรามีความสุขและความภาคภูมิใจว่าเราได้เป็นคนหนึ่งที่ " ปิดทองหลังพระ " แม้จะไม่มีใครรับรู้ก็ตาม.


พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ., อ.ว.
(เวชศาสตร์ป้องกัน) แขนงระบาดวิทยา,
หัวหน้ากลุ่มงานเวชกรรมสังคม
โรงพยาบาลน่าน







มาทำความดีกันดีกว่าคร้าบบบบบ



 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น